รีวิวหนัง “Indiana Jones and the Dial of Destiny”

รีวิวหนัง “Indiana Jones and the Dial of Destiny” มนต์ขลังที่เริ่มจางหาย..แต่ก็ยังคงอยู่ตลอดไป

รีวิวหนัง “Indiana Jones and the Dial of Destiny” มนต์ขลังที่เริ่มจางหาย..แต่ก็ยังคงอยู่ตลอดไป

“Indiana Jones and the Dial of Destiny อินเดียน่า โจนส์ กับกงล้อแห่งโชคชะตา” ที่นับว่าเป็นการกลับมาอีกครั้งในรอบทศวรรษของบุรุษนักผจญภัยในตำนาน ที่ครั้งนี้เหมือนจะกลับมาเพื่อสานต่อให้ถึงปลายทาง และอาจจะถึงเวลาที่เขาต้องโบกมือลาหน้าที่ ด้วยคำถามที่ว่า “อยู่เพื่อใคร..?” กลายมาเป็นเดินทางครั้งใหม่ของชายผู้มีแส่เคียงกาย เต็มหอมหวนไปด้วยบรรยากาศเก่า ๆ แม้ว่ากลิ่นอายมันจะเริ่มจางลง ๆ บ้างแล้วก็ตาม

 

Indiana Jones and the Dial of Destiny เล่าเรื่องราวของ อินดี้ ที่พบว่าตัวเองอยู่ในยุคใหม่และกำลังอยู่ในเส้นทางสู่การเกษียณ เขาต้องพยายามหาทางปรับตัวเข้าสู่โลกที่ใหญ่เกินกว่าเขาไปแล้ว แต่เมื่อปีศาจตนเดิมกลับมาในรูปแบบของตัวคู่ปรับเก่า อินดี้ จึงต้องกลับมาสวมหมวกและฟาดแส้ของเขาอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าวัตถุโบราณอันทรงพลังจะไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนชั่ว

สำหรับในหนังภาคนี้ “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ผู้ที่ริเริ่มสร้างตำนานมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้กลับมารับหน้าที่นั่งอยู่หลังเลนส์กล้องอีกเหมือนเคย (แต่ไปเป็นผู้อำนวยการสร้างแทน) ได้ทำการส่งไม้ต่อมาให้ผู้กำกับยอดฝีมือประจำรุ่นปัจจุบันอีกคน อย่าง “เจมส์ แมนโกลด์” มาวาดลวดลายและบรรเลงการผจญภัยครั้งใหม่ออกมาได้อย่างมีแนวทางใหม่ ๆ ที่หวังจะสร้างความต่างให้กับแฟรนไชส์หนังชุดนี้

“Indiana Jones and the Dial of Destiny” มีฉากเครดิตท้ายเรื่องหรือไม่ หาคำตอบได้ที่นี่!

ก็คงจะต้องสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่า Indiana Jones and the Dial of Destiny ก็มีทั้งมุมที่น่าประทับใจและมุมที่รู้สึกเฉย ๆ ปะปนกันไปตลอดการผจญภัยครั้งนี้ ที่แน่นอนเลยก็คือเสน่ห์ความเป็นหนังอินดี้ ที่ค่อนข้างเจือจางหายไปอย่างชัดเจน แม้ว่าตัวหนังจะพยายามมาก ๆ ที่จะดึงเสน่ห์แบบนี้ที่พ่อมดฮอลลิวูดเคยทำเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถดึงตรงนั้นเข้ามาได้ได้อย่างเต็มศักยภาพ มันจึงกลายเป็นหนังที่มีเสน่ห์ขาด ๆ เกิน ๆ อย่างบอกไม่ถูก

เจมส์ แมนโกลด์ ยังมาร่วมเขียนบทหนังร่วมกับทีมชั้นยอด ไม่ว่าจะเป็น “เดวิด โคเอพ” (จากหนังภาคที่แล้ว) และ “จอห์น-เฮนรี่ บัตเตอร์เวิร์ธ” กับ “เจซ บัตเตอร์เวิร์ธ” (จาก Ford v Ferrari) แต่บทหนังและการขัดเกลาทิศทางของหนังยังค่อนข้างวนอยู่ในเซฟโซนเดิม ๆ ของหนังตระกูลอินดี้ ที่เราเห็นถึงความพยายามที่จะสร้างความแปลกใหม่ ซ้ำร้ายยังค่อนข้างใส่น้ำหนักที่เบาไปสักหน่อย เป็นบทหนังที่ยึดสูตรสำเร็จมากเกินไปนิด จนพลอยทำให้เบื่อได้ง่ายไปด้วย

รีวิวหนัง “Indiana Jones and the Dial of Destiny” มนต์ขลังที่เริ่มจางหาย..แต่ก็ยังคงอยู่ตลอดไป

แม้ว่าการเล่าเรื่องของหนังจะยังสนุกดี ถ้าหากใครที่เป็นแฟนหนังชุดนี้ก็น่าจะตื่นเต้นไปกับทฤษฎีต่าง ๆ ที่หนังหยิบยกออกมา แต่ถ้าสำหรับคอหนังขาจรแล้วละก็ ข้อมูลต่าง ๆ ที่ค่อนข้างเนิร์ดนิดหน่อยในหนังเรื่องนี้อาจจะไม่อินเท่าไหร่ อีกทั้งยังแอบผิดหวังนิดหน่อยที่การผจญภัยตลอด 2 ชั่วโมงเศษ ๆ ของหนัง ก็ยังใหรสชาติเดิม ๆ ที่คุ้นเคยกันมาก่อน ยังไม่ค่อยเห็นอะไรที่แปลกใหม่มากนัก แต่ก็จัดได้ว่าไม่ได้แย่อะไร

และภาคนี้ก็ยังเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยการใส่อีสเตอร์เอ้กเอาไว้ให้ได้หวนคิดถึง ถ้าใครไม่ได้เป็นแฟนหนังชุดนี้มาก่อนก็คงจะไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ การได้เห็นนักแสดงเก่า ๆ ที่คุ้นเคยกับหนังชุดนี้กลับมา ก็ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์เบา ๆ และตระหนักได้ว่าวันเวลาผ่านไปแค่ไหน และพวกเขาก็ผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ท่ามกลางร่องรอยแห่งวัยบนร่างกายของพวกเขา ที่ควรแก่ถึงเวลาที่จะต้องค่อย ๆ ใช้ชีวิตที่ผ่อนช้าลงแล้วใมตอนนี้

 

“แฮร์ริสัน ฟอร์ด” ก็ยังรับมือกับบทที่เคยแจ้งเกิดให้กับเขาได้เป็นอย่างดี การเป็นอินดี้ในหนที่ 5 นี้ แม้จะเต็มไปด้วยภาพแห่งความโรยราตามวัย แต่เขาก็ยังคล่องแคล่วในฐานะอินดี้ในรูปแบบของเขา และพิสูจน์ให้เห็นว่าบทนี้เป็นบทของเขาโดยแท้ แม้เสน่ห์และภาพจำเดิม ๆ จะเริ่มเลือนลางหายไปตามเวลา แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ยังมีความทรงจำอยู่มากมายกับการแสดงของเขา

แต่ติดอยู่นิดหน่อยกับจุดขายของภาคนี้ ที่ใ้ช้เทคนิคพิเศษในการช่วยปรับลดอายุของอินดี้ กลับไปสู่ช่วงวัยหนุ่มอีกครั้ง สารภาพตรง ๆ เลยว่าเห็นแล้วแอบกลัวนิดนึง เพราะซีจีย้อนวัยที่หยิบมาใช้ครั้งนี้ ยังต้องนำไปพัฒนาต่อไป มันยังค่อนข้างดูลอย ๆ และแข็งทื่อไปในบางจุดอยู่เหมือน ทำให้อินดี้ในวัยหนุ่มไม่ได้หล่อเป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่เคยเป็นเท่าไหร่ กลับคล้ายคนไปฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์มาทำนองนั้น ที่ยังไม่ค่อยเนียน

 

“ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์” คือเสน่ห์เหลือร้ายในหนังเรื่องนี้จริง ๆ เธอคือตัวขโมยและตัวแม่ที่มาช่วยชีวิตหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny เรื่องนี้ได้โดยแท้ ทั้งเสน่ห์และจังหวะการแสดงออกมาได้น่าหลงใหล กับเสน่ห์ธรรมชาติที่คนดูยังเคลิ้มได้ไม่ยาก ถึงแม้ว่าบทของเธอจะยังไม่ค่อยมีมิติอะไรมากนัก แต่เป็นบทสมทบที่เข้ามาช่วยเต็มเติมให้กับหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี ขอบคุณจริง ๆ ที่ได้เธอคนนี้เขามาช่วยแบกอีกแรง

ดังนั้นในภาพรวมแล้ว Indiana Jones and the Dial of Destiny อาจจะยังไม่ใช่ภาคที่น่าประทับใจที่สุด การผจญภัยและกิมมิกต่าง ๆ ยังค่อนข้างเพลย์เซฟไปสักหน่อย ซึ่งถ้าให้บอกตามตรงก็คงจะพูดได้ว่าเป็นหนังอินดี้ที่แทบจะไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือมีซีนและฉากที่ตราตรึงใจสักเท่าไหร่ มันกลายเป็นมนต์ขลังเก่า ๆ ที่แตะยังไม่ถึง ในช่วงวาระเวลาที่มันกำลังจะค่อย ๆ จางหาย แต่กระนั้นความเป็นตำนานของอินดี้กลับยังคงอยู่ตลอดไป โดยที่อยู่ในช่วงเวลาที่ดีงามของมันนับตั้งแต่ภาคที่ 3 เป็นต้นมา….

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Indiana Jones and the Dial of Destiny

ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย
ผู้กำกับ: เจมส์ แมนโกลด์
นำแสดงโดย: แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์, แมดส์ มิคเคลเซน
ความยาว: 142 นาที
กำหนดฉายในไทย: 28 มิถุนายน 2023
Movie.TrueID METRIC: Indiana Jones and the Dial of Destiny

ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10)
เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰✰ (5/10)

ขอบคุณรูปภาพจาก : entertainment.trueid.net

ขอบคุณแหล่งที่มา : entertainment.trueid.net


ติดตามข่าวสาร ได้ที่  : mydeedees.com

[รีวิวซีรีส์] "King The Land" คอมเมดี้พล็อตซ้ำ แต่ไม่ช้ำแถมยังขำและฟินอีกด้วยแน่ะ

[รีวิวซีรีส์] “King The Land” คอมเมดี้พล็อตซ้ำขำและฟิน

[รีวิวซีรีส์] “King The Land” คอมเมดี้พล็อต […]

Read More
รีวิวหนัง "Through My Window: Across the Sea" ย้ายไปยั่ว ๆ ที่หน้าต่างบานริมหาด

รีวิวหนัง “Through My Window: Across the Sea”

รีวิวหนัง “Through My Window: Across the Sea&#822 […]

Read More
รีวิวหนัง "World's Best ที่สุดของโลก" สูตรสมการที่ลงตัวพิลึกระหว่าง คณิตฯ Feat. แร็ปเปอร์

รีวิวหนัง “World’s Best ที่สุดของโลก” สูตรสมการที่ลงตัว

รีวิวหนัง “World’s Best ที่สุดของโลก” […]

Read More